แนวคิดการทำเกษตรแบบผสมผสาน "เสริมคันนา เสริมรายได้"
“พืชผัก
สวนป่า บนคันนา”
แนวคิด
การประกอบอาชีพเกษตรกรรมในปัจจุบัน
เกษตรกรส่วนใหญ่ทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกพืชเพียงชนิดเดียว ในแปลงเกษตร
หรือทำกิจกรรมประเภทเดียว เช่น ทำนา หรือทำไร่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งการปลูกพืช หรือเลี้ยงสัตว์ลักษณะเช่นนี้
ค่อนข้างมีความเสี่ยงกับปัจจัยต่างๆ เช่น โรคพืช โรคแมลง ดินฟ้าอากาศ
ปริมาณน้ำเพื่อการเกษตร หรือราคาสินค้าผันผวนไม่แน่นอน อีกประการที่สำคัญ คือ
ในระหว่างที่มีการทำนา หรือทำไร่นั้น ต้องใช้เวลากว่าจะได้ผลผลิตไม่น้อยกว่า ๓ ถึง
๔ เดือน ซึ่งในระหว่างนั้นเกษตรกรย่อมมีค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าอาหาร
ค่าสาธารณูปโภค ค่าบำรุงการศึกษาบุตร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ทั้งที่มีความจำเป็นและไม่จำเป็น ต้องใช้จ่ายทุกวัน
ในการทำนา
หรือทำไร่ในปัจจุบันมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง โดยมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐
บาท แต่ราคาผลผลิตที่ขายได้ เช่น ราคาข้าวเปลือกในปัจจุบัน ราคา ๗,๐๐๐ – ๘,๐๐๐
บาทเท่านั้น หากพิจารณาแล้วเห็นว่า มีส่วนต่างประมาณ ร้อยละ ๒๐ – ๒๕ เท่านั้น
อีกทั้งราคาสินค้าทางการเกษตรของประเทศโดยรวมมีแนวโน้มราคาคงที่
บางชนิดมีราคาลดลงโดยตลอด
หากไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำการเกษตรในแบบที่เป็นอยู่โอกาสที่เกษตรกรจะหลุดพ้นจากวงจรการเป็นหนี้ทั้งนอกระบบ
ในระบบคงยาก มีแต่จะเพิ่มหนี้สินขึ้นไปเรื่อยๆ ท้ายสุดเกษตรกรคงต้องถูกฟ้องร้อง
บังคับคดี ถึงขั้นต้องสูญเสียที่ดิน ที่นาของตนเองแน่นอน
การทำเกษตรแบบผสมผสาน
เป็นการน้อมนำแนวคิด หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การทำเกษตรทฤษฎีใหม่มาประยุกต์ใช้
โดยการปลูกพืชอย่างหลากหลายในแปลงเกษตรแปลงเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยง
และเพิ่มโอกาสให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ยังเป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงชีพในระหว่างที่ปลูกพืชหลัก
หรือรอเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตหลัก
การนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้
จากแนวคิดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริง ซึ่งในที่นี้ จะขอนำมาประยุกต์ใช้กับการทำนา
ส่วนในพื้นที่ในการทำไร่ ทำสวนก็สามารถนำไปปรับใช้ได้
สำหรับการทำนาในจังหวัดลพบุรีนั้น มีทั้งพื้นที่ที่ทำนาปรัง
ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบ้านหมี่ อำเภอเมือง อำเภอท่าวุ้ง และอำเภอโคกสำโรงบางส่วน
ที่เหลือเป็นพื้นที่นาปีที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก
เกษตรกรในพื้นที่นาปรังส่วนใหญ่ทำนา ๕ ครั้ง ใน ๒ ปี มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ต้องพึ่งพาเครื่องจักรกลการเกษตร และสารเคมี ปุ๋ยเคมีเพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตของข้าว
ลักษณะของพื้นที่ทำนา จะเป็นที่ลุ่ม มีน้ำท่วมขัง เป็นผืนนาขนาดใหญ่ติดต่อกัน
คันนามีขนาดความกว้าง ๓๐ – ๕๐ เซนติเมตร ขนาดความยาวโดยเฉลี่ยประมาณ ๕๐ – ๑๐๐ เมตร
ซึ่งแล้วแต่พื้นที่
การเตรียมการ
จาการนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้มีวิธีการเตรียมการ
ดังนี้
๑.
ศึกษาพื้นที่เพื่อกำหนดรูปแบบพื้นที่การเพาะปลูก
๒.
วางแผนผังพื้นที่เพาะปลูก
๓.
ศึกษาพืชเศรษฐกิจ พืชผัก ที่จะทำการเพาะปลูก ความต้องการของตลาด แนวโน้มราคา
๔.
วางแผนระบบน้ำ แหล่งกักเก็บน้ำ ระบบการจ่ายน้ำ
๕.
จัดหาแหล่งทุน ปลอดดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยต่ำ
๖.
การสร้างเครือข่าย รวมทำกิจกรรมในรูปแบบกลุ่ม/ สหกรณ์
แนวคิดสู่การปฏิบัติ
๑. ปรับความกว้างของคันนา จากขนาด ๓๐ –
๕๐ เซนติเมตร เป็นขนาด ๓๐๐ – ๓๕๐ เซนติเมตร ให้มีความสูงจากพื้นนา ประมาณ ๕๐ – ๗๐
เซนติเมตร (แล้วแต่ความลาดลุ่มของพื้นที่)
๒. ปลูกไม้ยืนต้น ประเภทไม้เศรษฐกิจ
เช่น ไม้ยาง ไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้ตะเคียน เป็นต้น ระยะปลูกระหว่างต้น ๓๐๐ ถึง ๔๐๐ เซนติเมตร
ใน ๑ ไร่ จะปลูกไม้ได้ประมาณ ๒๐ – ๓๐ ต้น
๓. ตามแนวระหว่างต้น ปลูกพืชผักสวนครัว
๔. ขุดเจาะบ่อบาดาล กลุ่มละ ๑ บ่อ
(สำหรับพื้นที่ ๑๐๐ ไร่) พร้อมวางท่อ ตั้งถังเก็บน้ำเป็นท่อซีเมนต์
หรือพัฒนาเป็นระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น
การคำนวณเกี่ยวกับต้นทุน
จุดคุ้มทุน (คำนวณต่อ ๑๐ ไร่)
กิจกรรมเดิม (ทำนาอย่างเดียว)
ในพื้นที่นา ๑ ไร่ (จังหวัดลพบุรี)
มีผลผลิต ๕๐๐ – ๘๐๐ กิโลกรัม ราคา กิโลกรัมละ ๘ – ๑๒ บาทที่ความชื้น ๒๒- ๒๖
เกษตรกรจะมีรายได้ ประมาณ ๘,๐๐๐ – ๑๒,๐๐๐ บาท ซึ่งจะมีต้นทุนอยู่ที่ ๔,๕๐๐ ถึง
๕,๕๐๐ บาท จะมีรายได้สุทธิ ไร่ละประมาณ ๓,๕๐๐ – ๕,๐๐๐ บาท ใน ๑๐ ไร่
จะมีรายได้สิทธิ ๓๕,๐๐๐ ถึง ๕๐,๐๐๐ บาท
กิจกรรมที่ประยุกต์ (แนวคิดการทำเกษตรแบบผสมผสาน
การพืชผัก สวนป่า บนคันนา)
ในพื้นทีนา ๑ ไร่ จะมีพื้นที่ ๑,๖๐๐
ตารางเมตร คันนามีขนาด ๓๐ – ๕๐ เซนติเมตร จะมีพื้นที่คันนา รวม ๔๘ – ๘๐ ตารางเมตร
มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวคิดเป็นพื้นที่ประมาณ ๑,๕๒๐ - ๑,๕๕๒ ตารางเมตร หากปรับขนาดคันนาเพิ่มขึ้นเป็น
๓๐๐ – ๔๐๐ เซนติเมตร จะมีพื้นที่นาลดลงเหลือ ๙๖๐ – ๑,๑๒๐ ตารางเมตร คิดเป็นร้อยละ
๖๓.๑๕ – ๗๒.๑๖ เกษตรกรจะมีรายได้ลดลงจากการทำนาฤดูกาลละประมาณ ๒,๕๐๐ – ๓,๐๐๐
บาทต่อไร่
หากปรับเปลี่ยนเป็นการทำเกษตรผสมผสาน
โดยเฉพาะการปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ยืนต้นบนคันนา เป็นไม้สัก ไม้ยาง ไม้ประดู่
ไม่รวมถึงการปลูกพืชผักในระหว่างแถวต้นไม้ในปริมาณ จำนวนไร่ละ ๒๐ – ๓๐ ต้น ใน ๑๐ ถึง
๑๕ ปี ทั้งนี้อยู่ที่การบำรุงดูแลรักษา จะมีรายได้จากต้นไม้ ต้นละ ๑๕,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐
บาท เกษตรกรจะมีรายได้ ๓๐๐,๐๐๐ – ๙๐๐,๐๐๐ บาท ต่อไร่
จะมีต้นทุนจากค่าปรับดินวางคันนาเพิ่ม ค่ากล้าไม้ (ราคากล้าไม้ประมาณ ต้นละ ๒๐ บาท)
ค่าปลูก ค่าบำรุงรักษา ค่าจัดการระบบน้ำ และอื่นๆ
การเปรียบเทียบรายได้
(๑๐ ปี)
กิจกรรมแบบที่ ๑
(ทำนาอย่างเดียวในพื้นที่ ๑๐ ไร่)
มีรายสุทธิได้ต่อ
๑๐ ไร่ เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ทำนา ๑๐ ปี มีรายได้ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
กิจกรรมแบบที่ ๒ (ทำนา
พร้อมปลูกไม้ยืนต้นบนคันนา ไม่รวมการปลูกพืชผักบนคันนา)
๑.
มีรายได้จาการทำนา ต่อ ๑๐ ไร่ ๓๐,๐๐๐ บาท ทำนา ๑๐ ปี มีรายได้ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
๒.
มีรายได้จากการจำหน่ายไม้ จำนวน ๒๐๐ – ๓๐๐ ต้นๆ ละ ๑๕,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐ บาท เป็นเงิน
ขั้นต่ำ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท (สามล้านบาทถ้วน)
รวมมีรายได้ทั้งสิ้น ๓,๓๐๐,๐๐๐ บาท (สามล้านสามแสนบาทถ้วน)
ทั้งนี้ยังไม่รวมรายได้จาการปลูกพืชผักบนคันนาอีกด้วย
ประโยชน์ที่ได้
๑. เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีเงินชำระหนี้สิน รักษาที่ดินไว้ทำกิน ไว้ให้ลูกหลาน
๒. ส่งเสริมการทำเกษตรผสมผสาน ตามแนวคิดเกษตรทฤษฏีใหม่
๓. ทำให้มีป่าไม้เพิ่มมากขึ้น ช่วยรักษาระบบนิเวศ ลดโลกร้อน ส่งเสริมการรักษาป่า
๔. สร้างทรัพยากรอย่างเพียงพอต่อการใช้งานในอนาคต
ปัญหาอุปสรรค
๑. แนวคิดของเกษตรกร
๒. พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ไม่เอื้อต่อการปลูกสวนป่าของเอกชน
ข้อเสนอภาครัฐ
รัฐควรสนับสนุนส่งเสริมให้แก่เกษตรกรในด้านแหล่งเงินทุน
ปัจจัยการผลิต ด้านวิชาการ
รัฐควรปรับปรุงแก้ไข พรบ. ป่าไม้ พ.ศ.
๒๔๘๔ มาตรา ๗
รัฐควรมีนโยบายส่งเสริมการทำสวนป่าภาคเอกชน
รัฐควรตรากฎหมาย พรบ. ธนาคารต้นไม้ เพื่อส่งเสริมการปลูกไม้
ผู้เสนอแนวคิด
สภาเกษตรกรจังหวัดลพบุรี
สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดลพบุรี